"www.halaqah-addirasiah.blogspot.com ................. أهلا وسهلا يا رمضان كريم................... Apabila kamu Berpuasa maka hendaklah berpuasa pendengaranmu,penglihatanmu,lidahmu,daripada dusta dan dusa,dan tingallah menyakiti khadam.hendaklah kamu mengharmatinya dan bersikap tenang pada hari puasamu.jgn kamu samakan hari puasamu dgn hari tidak puasa,{ AL-HADIS }

Selasa, 31 Mei 2011

ครั้งแรก ทักษิณเปิดปากผ่านTheStraitsTimes พูดถึงมุสลิมภาคใต้ ยอมรับผิดพลาด





สำนักข่าวมุสลิมไทย ครั้งแรก ทักษิณเปิดปากผ่านTheStraitsTimes พูดถึงมุสลิมภาคใต้ ยอมรับผิดพลาด

สเตรทไทมส์ เปิดใจ “ทักษิณ”: กฎหมายหมิ่นทำให้สถาบันฯเสื่อม

ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์นสพ.เสตรทไทมส์ มั่นใจชนะการเลือกตั้งอย่างสง่างาม มุ่งอยากกลับประเทศเพื่อแก้ไขความบอบช้ำ ขอโอกาสเพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ชี้ทหาร “พารานอย”มากเกินไป

29 พ.ค. 54 – อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาที่ ประเทศดูไบว่า ความพยายามของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในการสร้างแผนการปรองดองนั้นล้มเหลว และทำให้ประเทศแตกแยกมากขึ้น ขณะนี้จึงเป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยในการสร้างการปรองดองในชาติ และหวังว่าตนเองจะสามารถกลับประเทศไทยได้ เพื่อแก้ไขบาดแผลทางการเมืองของประเทศในช่วงห้าปีที่ผ่านมา แต่ถึงแม้ว่าจะกลับมาไม่ได้ ตนก็ยังอยากให้ประเทศไทยกลับสู่สภาวะปรกติ

“ความปรกติในความหมายของพรรคประชาธิปัตย์นั้นเป็นคนล่ะความหมาย เขาพยายามจะปรองดองมา 2 ปีครึ่งแล้ว แต่ก็ล้มเหลว ซ้ำยังทำให้ประเทศแตกแยกมากขึ้น เป็นคราวของเราแล้วที่จะต้องสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น” อดีตนายกกล่าว

ในระหว่างการสัมภาษณ์ที่ยาว 1 ชั่วโมง เขายอมรับว่าการกระทำที่รุนแรงต่อชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้สมัยที่เขาเป็น นายกถือเป็นความผิดพลาด และกล่าวว่าการเป็นตำรวจนั้นทำให้ตนถูกสอนมาว่าต้องใช้ทั้งกำปั้นเหล็กและ ถุงมือกำมะหยี่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ใช้กำปั้นเหล็กมากไป และเสียใจในสิ่งที่เคยทำ ทั้งนี้ ในอนาคตจะต้องเปลี่ยนแปลงไป

เขายังเสริมว่า พรรคเพื่อไทยจะรื้อฟื้นข้อตกลงกรณีพื้นที่ทับซ้อนบริเวณ 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณใกล้กับเขาพระวิหารเพื่อพิจารณาถอนข้อตกลงดังกล่าว “เราควรมีการพูดคุยกัน ไม่ใช่เอะอะๆก็ส่งทหารเข้าไป ถ้าคุณมายิงใส่เพื่อนบ้านตัวเอง แล้วจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบได้ยังไง ถ้าคุณใหญ่กว่าหรือรวยกว่า คุณก็ควรมีจิตใจที่ดีและเมตตาต่อคนที่จนกว่าและตัวเล็กกว่า” ทักษิณกล่าว

ถึงแม้จะมีการวิเคราะห์ว่าผลของการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมจะค่อนข้าง สูสี โดยโพลล์สำรวจความคิดเห็นได้เผยว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะอย่างฉิวเฉียด แต่ทักษิณค่อนข้างมั่นใจว่าเพื่อไทยน่าจะชนะได้อย่างชัดเจน และเผยว่าตนเองได้ติดตามการหาเสียงในไทยอยู่ทุกวันและวางแผนยุทธศาสตร์การ เลือกตั้งอยู่เสมอ โดยดำเนินการจากบ้านหรูหราขนาดห้องนอน 7 ห้องในย่านหรูที่ดูไบ หรือบางทีก็จากเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และรับข้อมูลความเคลื่อนไหวต่างๆจากนักการเมืองในประเทศไทย พร้อมกับปราศรัยผ่านทางโทรศัพท์ หรือ “โฟนอิน” ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงและการปราศรัยของเพื่อไทยอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังพูดคุยทางโทรศัพท์จากกลุ่มฐานเสียงต่างๆด้วย


“ถึงเวลาที่เราจะต้องยึดมั่นในหลักการว่าเราเคารพในความคิดของประชาชน ...ถ้าคุณเรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตย คุณก็ต้องเคารพเจตจำนงของประชาชน แล้วสิ่งต่างๆก็จะดำเนินไปต่อได้เอง ผมไม่สนใจว่าใครจะว่าอะไร ไม่สนใจว่าผมจะได้กลับบ้านหรือไม่ ผมสนใจแค่ว่าเมื่อไหร่ที่ประเทศจะกลับสู่สภาวะปรกติได้เสียที”

เมื่อผู้สื่อข่าวเสตรทไทมส์ถามว่า คิดว่าเสถียรภาพหลังการเลือกตั้งของประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับการเจรจามากแค่ ไหน เขาตอบว่า “ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสานเสวนาอีกแล้ว”

เขากล่าวว่ามีบางก๊กบางฝ่ายติดต่อเข้ามาหาเขาหลังจากหมดอำนาจ เขาจึงให้ยิ่งลักษณ์เป็นตัวแทนในการเจรจาพูดคุย “ผมไม่ไว้ใจนักการเมืองคนไหนๆหรอก เพราะไม่มีความลับในหมู่นักการเมือง ผมจึงให้เธอเป็นคนไปพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ และทำงานในพื้นที่เยอะๆ ตอนนี้อยากเห็นประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ไม่หยุดอยู่ในสภาพเดิมๆ”

ว่าด้วยทหารกับการเมือง

“พวกทหารเกิดอาการวิตกจริตกันใหญ่เพราะมีข่าวว่าผมจะเปลี่ยนประเทศไทยให้ เป็นสาธารณรัฐ และตั้งตนเป็นประธานาธิบดี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย เมื่อคุณกลายเป็นผู้นำ คุณก็ต้องเข้มแข็ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆที่เป็นปัญหาเรื้อรังได้ และพอเมื่อคุณเข้มแข็งปุ๊บ ก็มีคนบอกว่าผมอยากเป็นประธานาธิบดี ซึ่งไร้สาระมาก และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงให้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิง เขาจะได้ไม่ต้องคิดว่าผู้หญิงจะสามารถทำอะไรเช่นนั้น”

ว่าด้วยนโยบายพรรค
“ก็มีความเหมือนและความต่างอยู่บ้าง เมื่อคุณเห็นคนกำลังกินปลา ไม่ว่าจะจากเพื่อไทยหรือประชาธิปัตย์ ปลาเหล่านั้นก็ดูเหมือนกัน แต่ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์แจกแต่ปลา แต่เราจะให้เบ็ดตกปลา และให้ประชาชนได้ตกปลาเองกินเอง และมีปลาจากทั้งแม่น้ำเอาไว้กินได้

ถ้าคุณดูการบริหารประเทศของพรรคประชาธิปัตย์ เขาต้องการเพียงแค่ผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ของผมคือความสุขของประชาชนต้องมาก่อน และผลประโยชน์ทางการเมืองก็จะเป็นผลจากการที่พี่น้องประชาชนมีความสุข”

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ “ทำให้เสื่อม”
ต่อประเด็นการฟ้องร้องและดำเนินคดีบุคคลจำนวนมากในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพทักษิณกล่าวว่า “ทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วเสื่อมลงไปอีก...หากว่าคุณเคารพและจงรักภักดีต่อ พระมหากษัตริย์ ต้องหยุดการแสดงความจงรักภักดีด้วยวิธีโง่ๆเช่นนี้”

และเมื่อถามว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่กับการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เขาตอบว่า “ก็ถ้ามีอยู่แล้วไม่ได้ใช้แบบไม่จำเป็นล่ะก็...” ซึ่งสื่อว่าก็ไม่ได้เห็นด้วยเท่าใดนัก และยังเสริมว่า “ยิ่งคุณดำเนินคดีกับคนในข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากขึ้นเท่าใด ประชาคมนานาชาติและองค์กรสิทธิมนุษยชนก็จะเรียกร้องให้มีการยกเลิก(กฎหมาย นี้)มากขึ้นเท่านั้น”

เขาย้อนไปถึงสมัยที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเล่าว่าเคยเกือบให้มีการจับกุมผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์คนหนึ่ง และในการเข้าเฝ้ากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งก่อน พระมหากษัตริย์ทรงตรัสว่า “ไม่อยากให้ใช้กฎหมายตัวนี้พร่ำเพรื่อ” อดีตนายกผู้ลี้ภัยสะท้อนว่า “ผู้ที่พยายามจะแสดงออกว่าเขาจงรักภักดีต่อกษัตริย์มากๆ และประกาศว่าจะเล่นงานคนที่แตะต้องสถาบันกษัตริย์นั้น เป็นการทำให้สิ่งที่แย่อยู่แล้วแย่ยิ่งขึ้น”

ต่อกรณีที่กองทัพบกได้เป็นผู้ยื่นฟ้องในกรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายล่าสุดนั้น ทักษิณกล่าวว่า ทหารมีหน้าที่หลักๆสองอย่าง อย่างแรกคือปกป้องอธิปไตยของชาติ อย่างที่สองคือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพต้องการแสดงความจงรักภักดีของตนเองโดยแสดงออกชัดแจ้งเกินไป ตนคิดว่าการกระทำดังกล่าวเป็นผลเสียต่อกองทัพและไม่ดีต่อสถาบันกษัตริย์เองด้วย

ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
หนังสือพิมพ์เสตรทไทมส์ ฉบับวัันที่ 28 พฤษภาคม 2554

ที่มา ประชาไท

Games online